ผู้คนจำนวนไม่น้อย...สดับชื่อ
“พระพุทธเจ้า”
แล้ว...ก็พลันบังเกิดศรัทธาปสาทะแทบปรี่ล้น...เกิดพลังใจใฝ่ดี
ใฝ่หลุดพ้นจากห้วงทุกข์อย่างสุดใจ...แต่ก็มีอีกไม่ใช่น้อย...เมื่อได้ยินการเอ่ยถึงพระศาสดา...ต่างนึกประหวั่นพรั่นพรึง...เกิดหวาดกลัว...ไม่ชอบใจ...ไม่ศรัทธาเลื่อมใส...กระทั่งบางคนที่มืดบอดหนัก...อาจเผลอนึกคิดผิดๆ
เสียด้วยว่า...
“พระพุทธเจ้า
น่าจะไม่มีอยู่จริง”
โอ...ช่างน่าอนาถ
น่าสงสารยิ่งนัก ผู้เช่นนั้น
ท่านทั้งหลาย...สัจจะความจริง
คือ
สิ่งที่ดำรงอยู่...แบบไม่สามารถจะลบหายหรือลืมเลือน...ทั้งไม่อาจบิดเบือนให้เป็นอื่นไป...ความจริง
ก็คือ
ความจริง...มิกลายเป็นความเท็จได้เลย...ตรงกันข้าม...ความเท็จ
ก็คือ ความเท็จ...มิอาจแปรเปลี่ยนเป็นความจริงได้เลย
ประดุจเดียวกัน...และสัจจะอันหนึ่งที่โลกจารึกแล้ว...ไม่มีวันผันแปรผิดเพี้ยนเปลี่ยนไป...ก็คือ...พระพุทธเจ้ามีจริง...พระธรรมคำสอนมีจริง...พระสงฆ์สาวกที่รู้ตามเห็นตามพระพุทธองค์ก็มีจริง...ฉะนั้น...ไม่ควรพะวงสงสัยนึกดูถูกดูหมิ่น...ให้เป็นบาปกรรมซ้ำเติมชีวิตตัวเองเลย...หรือหากประสงค์ใคร่รู้ความจริงทุกสิ่งอย่างตามความเป็นจริง...ก็จงเพียรศึกษาและปฏิบัติตามพระธรรมคำสอนเข้าเถิด...ย่อมจะรู้เองเห็นเอง
ทีนี้...แม้นเมื่อเราเชื่อแล้วว่า
พระบรมศาสดาทรงมีจริง...เราหมั่นสักการบูชาท่านด้วยดอกบัวเสมอ...แต่พอจะทราบกันบ้างไหม...พระพุทธองค์เป็นเช่นไร...หฤทัยของบรมครูเจ้า...เป็นอย่างไร...สิ่งนี้
คือ
ความสำคัญต่อเนื่อง...ที่ผู้เลื่อมใสศรัทธา...ก็ยังคงต้องศึกษาหาคำตอบกันต่อไป...แต่อยากรู้ไหม...พระพุทธเจ้าของเรา...เฉลยความจริงส่วนพระองค์ไว้อย่างไร...ถ้าอยากรู้
ก็มารู้กันเลย...
พระจอมไตรโลกนาถตรัสถึง
สภาวะที่พระองค์ทรงเป็นอยู่...ไว้ใน
“โทณสูตร”
(องฺ.
จตุกฺก.
[๓๖])
ว่า...
“...นี่แน่ะพราหมณ์
ดอกอุบลก็ดี ดอกปทุมก็ดี
ดอกบุณฑริกก็ดี เกิดในน้ำ
เจริญในน้ำ แต่ขึ้นมาตั้งอยู่พ้นน้ำ
น้ำไม่กำซาบเข้าไปได้ ฉันใด,
เราก็ฉันนั้น
เกิดในโลก เติบใหญ่มาในโลก
แต่เราอยู่เหนือโลก
โลกไม่เข้ามากำซาบ (ใจเรา)
ได้,
แน่ะพราหมณ์
ท่านจงจำเราไว้ว่า “เป็นพุทธะ”
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น