"พระพุทธเจ้า" ทรงอุบัติมาเพื่อพบทางพ้นทุกข์...และนำพาปวงสัตว์ออกจากห้วงทุกข์...ทรงเป็นที่พึ่งแห่งเวไนย์ทั้งสามแดนโลกธาตุ
ด้วยพระกรุณาธิคุณ...ทรงมุ่งหวังให้ปวงสัตว์ได้ดวงตาเห็นธรรม...เห็นแจ้งอริสัจจ์ ๔...จึงประกาศพระศาสนาหมุนกงล้อธรรมจักรให้เคลื่อนไปในโลกหล้า...เหล่าเทวดาและมวลมนุษย์ทั้งผองสัตว์...จึงสงบสุขร่มเย็น
ท่านทั้งหลาย...จะมีที่พึ่งใดเล่าอบอุ่นและยิ่งใหญ่เท่าพระรัตนตรัย...สรณะทั้ง ๓ นี้แล...ประดุจเรือทองคำ...ที่ขนสัตว์ผู้ลอยคอกลางทะเลทุกข์...ให้รอดพ้นความตาย...มีพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง มีพระธรรมเป็นที่ระลึก มีพระอริยะสงฆ์เป็นแบบอย่างดำเนินชีวิต...ย่อมบรรลุอมตะมหานิพพาน.
วันเสาร์ที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2557
วันพฤหัสบดีที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2557
ศาสดา...ผู้เป็นแรงบันดาลใจ
เราต่างมุ่งหวังพบความสุขและความสำเร็จกันทั้งนั้น...จึงใฝ่ฝันและดิ้นรนไขว่คว้าแทบทุกวิถีทาง...เพื่อให้ได้สิ่งที่ตัวเองมุ่งหวัง...เราคิดและเข้าใจว่า...ถ้าความปรารถนาของเราสำเร็จสมใจ...จะได้พบสุขอันยอดเยี่ยม...หากแต่ว่าในที่สุด...เมื่อก้าวย่างอย่างยากลำบากไปจนบรรลุจุดหมายที่ฝันไฝ่...กลับได้พบอีกว่า...ความต้องการในใจมันไม่ได้หยุดอยู่แค่นั้น...ความใฝ่ฝันถึงความสุขในชีวิตที่เหนือกว่า...ก็เกิดขึ้น...กระตุ้นให้เราแสวงหาดิ้นรนและต่อสู้เพื่อความสุขอีกต่อไป...แบบไร้ที่สิ้นสุด...ไม่ว่าจะเป็นชาวพุทธหรือศาสนิกลัทธิศาสนาอื่น...แทบไม่ต่างกัน...เพียงแต่ว่าพุทธศาสนิกส่วนมากโชคดีหน่อย...ที่สามารถจะพบเห็นและมีโอกาสได้รู้จัก...กับเป้าหมายชีวิตที่มีวันสิ้นสุด...ณ ปลายทางแห่งนั้น...คือ "บรมสุข-อิสรภาพชีวิต"...ที่แท้...ซึ่งพระบรมศาสดาได้ทรงค้นพบก่อน...พร้อมกับบอกเส้นทางให้พวกเราก้าวไป
หากจะหาใครสักคนบนโลกนี้...เป็นแรงบันดาลใจ...สำหรับนำพาชีวิตไปสู่ความสุขและพ้นทุกข์แล้ว...ขอให้เชื่อเถิดว่า...ศาสดาของพวกเรา..."พระพุทธเจ้า"...ย่อมเป็นผู้ที่เหมาะควรที่สุด...ซึ่งเราทุกคนควรจะน้อมนำเอาแบบอย่างชีวิตของพระองค์...มาเป็นแบบอย่างชีวิตของตัวเอง...พระองค์ทรงบรรลุจุดหมายชีวิตที่ยิ่งใหญ่...ที่ไม่จำเป็นต้องไขว่คว้าแสวงหาใดๆ...ให้เหน็ดเหนื่อยแบบไม่รู้จบอีก...และเส้นทางการแสวงหาของพระองค์...ก็เป็นเส้นทางที่ไม่ก่อความทุกข์และโทษภัย...ต่อชีวิตตนและผู้อื่นเลย...เราสามารถพบความจริงนี้ได้...จากการศึกษาพุทธประวัติ...และเปรียบเทียบดู...กับประวัติบุคคลสำคัญของโลกท่านอื่นๆ...จะพบความจริงว่า...พระพุทธเจ้าทรงยิ่งใหญ่อย่างบริสุทธิ์สะอาดแท้จริง...ไม่อาจมีใครอื่นจะเทียบเทียมได้เลย
เปิดโอกาสดีๆ ให้หัวใจ...น้อมรับเอาพระนามและพระคุณอันยิ่งทั้ง ๓ (วิสุทธิคุณ ปัญญาธิคุณ มหากรุณาธิคุณ) ของพุทธเจ้า...เข้าเก็บไว้ในนั้น...เพื่อให้ทุกวันเวลาของชีวิตเรา...มีแบบอย่างและได้รับแรงบันดาลใจประเสริฐสุด...เพื่อก้าวสู่...บรมสุข สิ้นทุกข์ สำเร็จสมหวัง และอิสรภาพที่แท้จริง.
หากจะหาใครสักคนบนโลกนี้...เป็นแรงบันดาลใจ...สำหรับนำพาชีวิตไปสู่ความสุขและพ้นทุกข์แล้ว...ขอให้เชื่อเถิดว่า...ศาสดาของพวกเรา..."พระพุทธเจ้า"...ย่อมเป็นผู้ที่เหมาะควรที่สุด...ซึ่งเราทุกคนควรจะน้อมนำเอาแบบอย่างชีวิตของพระองค์...มาเป็นแบบอย่างชีวิตของตัวเอง...พระองค์ทรงบรรลุจุดหมายชีวิตที่ยิ่งใหญ่...ที่ไม่จำเป็นต้องไขว่คว้าแสวงหาใดๆ...ให้เหน็ดเหนื่อยแบบไม่รู้จบอีก...และเส้นทางการแสวงหาของพระองค์...ก็เป็นเส้นทางที่ไม่ก่อความทุกข์และโทษภัย...ต่อชีวิตตนและผู้อื่นเลย...เราสามารถพบความจริงนี้ได้...จากการศึกษาพุทธประวัติ...และเปรียบเทียบดู...กับประวัติบุคคลสำคัญของโลกท่านอื่นๆ...จะพบความจริงว่า...พระพุทธเจ้าทรงยิ่งใหญ่อย่างบริสุทธิ์สะอาดแท้จริง...ไม่อาจมีใครอื่นจะเทียบเทียมได้เลย
เปิดโอกาสดีๆ ให้หัวใจ...น้อมรับเอาพระนามและพระคุณอันยิ่งทั้ง ๓ (วิสุทธิคุณ ปัญญาธิคุณ มหากรุณาธิคุณ) ของพุทธเจ้า...เข้าเก็บไว้ในนั้น...เพื่อให้ทุกวันเวลาของชีวิตเรา...มีแบบอย่างและได้รับแรงบันดาลใจประเสริฐสุด...เพื่อก้าวสู่...บรมสุข สิ้นทุกข์ สำเร็จสมหวัง และอิสรภาพที่แท้จริง.
วันพุธที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2557
วันนี้...วันพระ
สมัยพุทธกาล...อุบาสก
อุบาสิกา และพุทธบริษัททั้งหลาย...ทราบว่า
บรรดาศาสนิกในลัทธิศาสนาอื่น...ล้วนมีคืนวันอันเป็นวาระพิเศษ...ที่จะได้ประกอบกิจพิธีตามลัทธิคำสอนที่ตนเองนับถือ...เหล่าพุทธศาสนิกในสมัยนั้น...จึงได้กราบบังคมทูลขออนุญาตต่อพระพุทธองค์...ให้ทรงกำหนดวันเวลาพิเศษขึ้น...เพื่อให้เหล่าสาวกได้ประกอบกิจพิธี...รักษาศีล
เจริญธรรม ตามพุทธธรรมคำสอนอย่างเคร่งครัด
พระผู้มีพระภาค จึงทรงประทานกำหนด... “วันธัมมัสวนะ”...หรือ... “วันอุโบสถ”...ขึ้น โดยเดือนหนึ่ง ๆ ให้มี ๔ วัน...แบ่งเป็น แรม ๘ ค่ำ และ ๑๕ ค่ำ...กับ...ขึ้น ๘ ค่ำ และ ๑๕ ค่ำ...เป็นวันที่ชาวพุทธทั้งมวล...จะได้ประพฤติปฏิบัติตน...แบบเข้มข้นและเคร่งครัดในศีลธรรมมากกว่าวันปกติ...กล่าวคือ...เมื่อถึงวาระแห่งวันดังกล่าวนี้...เราจะได้รักษาศีลอุโบสถ (ศีล๘)...และสดับพระธรรมเทศนา...ตลอดจนฝึกหัดภาวนาชำระจิตใจ...ให้ห่างไกลกิเลสอาสวะทั้งปวง...เรียกวันเช่นนี้ว่า... “วันพระ”
ในอดีตประเทศไทยเราถือว่า...วันพระ คือ วันแห่งการทำบุญ...เป็นวันหยุดพักกิจกรรมการงานทางโลกทุกอย่าง...เพื่อให้ผู้คนได้เข้าวัดปฏิบัติธรรมกัน...และในวันดังกล่าวนี้...ก็จะไม่มีการใช้แรงงานสัตว์...ไม่มีการฆ่าสัตว์...ไม่มีการละเมิดศีลใดๆ...กระทั่งว่า คู่สามีภรรยาชาวพุทธทั้งปวง...ก็ยังมีธรรมเนียมปฏิบัติในการครองเรือนที่ดี...ไม่เสพสมร่วมหลับนอนกันในคืนวันพระด้วย...เพื่อเป็นการเคารพพระรัตนตรัย...หากแต่ปัจจุบัน...ความเชื่อถือและครรลองประพฤติของผู้คน...แปรเปลี่ยนไปตามยุคสมัยและโลกสากล...จนแทบไม่เหลือชาวพุทธที่ปฏิบัติอย่างจริงจัง...ในธรรมเนียมอันดีเหล่านี้อีกแล้ว...ซึ่งเป็นที่น่าเสียดายมาก
“วันพระ” ในวันนี้...จึงไม่ได้เป็นอะไรพิเศษเหนือกว่าวันอื่นๆ...อย่างที่ควรจะเป็นตามพุทธประสงค์...มิหนำซ้ำชาวพุทธจำนวนมาก...อาจลืมไปทีเดียวว่า...วันไหนวันพระ วันไหนวันปกติ...จึงดำเนินชีวิตไปตามความเคยชิน...ไม่มีโอกาสได้ฝึกอบรมจิตและฝืนใจตัวเอง...ไม่มีช่วงเวลาที่จะได้ศึกษาและปฏิบัติตนเคร่งครัดขึ้น...ตามธรรมเนียมนิยมอันงดงามของพุทธศาสนิกชนแท้
แต่อย่างไรก็ตาม...ไม่ได้เป็นความผิดหรือบาปกรรมประการใด...ที่ความจำเป็นในชีวิต...มาทำให้พวกเราห่างไกลจากกิจกรรมทางศาสนาในวันพระ...ขอเพียงเราชาวพุทธทุกคน...มีจิตเคารพเลื่อมใสพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ตลอดเวลา...ประพฤติตนให้อยู่ในกรอบของศีลธรรมอันดี...ตามที่พระพุทธองค์ทรงสั่งสอน...มีการไหว้พระสวดมนต์ ทำจิตให้สงบ แผ่เมตตา...ก่อนนอนและตื่นนอนทุกวัน...เพียงเท่านี้...ก็ถือว่า...เราไม่ใช่ผู้อยู่ห่างไกลพระบรมศาสดาแล้ว...ความสุขกายสบายใจ...ก็จะเกิดขึ้นในชีวิตเราอย่างน่าอัศจรรย์...เหตุเพราะบุญบันดาล...และอานุภาพพระรัตนตรัย คอยหนุนส่งให้เป็นไป.
พระผู้มีพระภาค จึงทรงประทานกำหนด... “วันธัมมัสวนะ”...หรือ... “วันอุโบสถ”...ขึ้น โดยเดือนหนึ่ง ๆ ให้มี ๔ วัน...แบ่งเป็น แรม ๘ ค่ำ และ ๑๕ ค่ำ...กับ...ขึ้น ๘ ค่ำ และ ๑๕ ค่ำ...เป็นวันที่ชาวพุทธทั้งมวล...จะได้ประพฤติปฏิบัติตน...แบบเข้มข้นและเคร่งครัดในศีลธรรมมากกว่าวันปกติ...กล่าวคือ...เมื่อถึงวาระแห่งวันดังกล่าวนี้...เราจะได้รักษาศีลอุโบสถ (ศีล๘)...และสดับพระธรรมเทศนา...ตลอดจนฝึกหัดภาวนาชำระจิตใจ...ให้ห่างไกลกิเลสอาสวะทั้งปวง...เรียกวันเช่นนี้ว่า... “วันพระ”
ในอดีตประเทศไทยเราถือว่า...วันพระ คือ วันแห่งการทำบุญ...เป็นวันหยุดพักกิจกรรมการงานทางโลกทุกอย่าง...เพื่อให้ผู้คนได้เข้าวัดปฏิบัติธรรมกัน...และในวันดังกล่าวนี้...ก็จะไม่มีการใช้แรงงานสัตว์...ไม่มีการฆ่าสัตว์...ไม่มีการละเมิดศีลใดๆ...กระทั่งว่า คู่สามีภรรยาชาวพุทธทั้งปวง...ก็ยังมีธรรมเนียมปฏิบัติในการครองเรือนที่ดี...ไม่เสพสมร่วมหลับนอนกันในคืนวันพระด้วย...เพื่อเป็นการเคารพพระรัตนตรัย...หากแต่ปัจจุบัน...ความเชื่อถือและครรลองประพฤติของผู้คน...แปรเปลี่ยนไปตามยุคสมัยและโลกสากล...จนแทบไม่เหลือชาวพุทธที่ปฏิบัติอย่างจริงจัง...ในธรรมเนียมอันดีเหล่านี้อีกแล้ว...ซึ่งเป็นที่น่าเสียดายมาก
“วันพระ” ในวันนี้...จึงไม่ได้เป็นอะไรพิเศษเหนือกว่าวันอื่นๆ...อย่างที่ควรจะเป็นตามพุทธประสงค์...มิหนำซ้ำชาวพุทธจำนวนมาก...อาจลืมไปทีเดียวว่า...วันไหนวันพระ วันไหนวันปกติ...จึงดำเนินชีวิตไปตามความเคยชิน...ไม่มีโอกาสได้ฝึกอบรมจิตและฝืนใจตัวเอง...ไม่มีช่วงเวลาที่จะได้ศึกษาและปฏิบัติตนเคร่งครัดขึ้น...ตามธรรมเนียมนิยมอันงดงามของพุทธศาสนิกชนแท้
แต่อย่างไรก็ตาม...ไม่ได้เป็นความผิดหรือบาปกรรมประการใด...ที่ความจำเป็นในชีวิต...มาทำให้พวกเราห่างไกลจากกิจกรรมทางศาสนาในวันพระ...ขอเพียงเราชาวพุทธทุกคน...มีจิตเคารพเลื่อมใสพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ตลอดเวลา...ประพฤติตนให้อยู่ในกรอบของศีลธรรมอันดี...ตามที่พระพุทธองค์ทรงสั่งสอน...มีการไหว้พระสวดมนต์ ทำจิตให้สงบ แผ่เมตตา...ก่อนนอนและตื่นนอนทุกวัน...เพียงเท่านี้...ก็ถือว่า...เราไม่ใช่ผู้อยู่ห่างไกลพระบรมศาสดาแล้ว...ความสุขกายสบายใจ...ก็จะเกิดขึ้นในชีวิตเราอย่างน่าอัศจรรย์...เหตุเพราะบุญบันดาล...และอานุภาพพระรัตนตรัย คอยหนุนส่งให้เป็นไป.
วันเสาร์ที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2557
"พระพุทธเจ้า" เป็นเช่นไร...
ผู้คนจำนวนไม่น้อย...สดับชื่อ
“พระพุทธเจ้า”
แล้ว...ก็พลันบังเกิดศรัทธาปสาทะแทบปรี่ล้น...เกิดพลังใจใฝ่ดี
ใฝ่หลุดพ้นจากห้วงทุกข์อย่างสุดใจ...แต่ก็มีอีกไม่ใช่น้อย...เมื่อได้ยินการเอ่ยถึงพระศาสดา...ต่างนึกประหวั่นพรั่นพรึง...เกิดหวาดกลัว...ไม่ชอบใจ...ไม่ศรัทธาเลื่อมใส...กระทั่งบางคนที่มืดบอดหนัก...อาจเผลอนึกคิดผิดๆ
เสียด้วยว่า...
“พระพุทธเจ้า
น่าจะไม่มีอยู่จริง”
โอ...ช่างน่าอนาถ
น่าสงสารยิ่งนัก ผู้เช่นนั้น
ท่านทั้งหลาย...สัจจะความจริง คือ สิ่งที่ดำรงอยู่...แบบไม่สามารถจะลบหายหรือลืมเลือน...ทั้งไม่อาจบิดเบือนให้เป็นอื่นไป...ความจริง ก็คือ ความจริง...มิกลายเป็นความเท็จได้เลย...ตรงกันข้าม...ความเท็จ ก็คือ ความเท็จ...มิอาจแปรเปลี่ยนเป็นความจริงได้เลย ประดุจเดียวกัน...และสัจจะอันหนึ่งที่โลกจารึกแล้ว...ไม่มีวันผันแปรผิดเพี้ยนเปลี่ยนไป...ก็คือ...พระพุทธเจ้ามีจริง...พระธรรมคำสอนมีจริง...พระสงฆ์สาวกที่รู้ตามเห็นตามพระพุทธองค์ก็มีจริง...ฉะนั้น...ไม่ควรพะวงสงสัยนึกดูถูกดูหมิ่น...ให้เป็นบาปกรรมซ้ำเติมชีวิตตัวเองเลย...หรือหากประสงค์ใคร่รู้ความจริงทุกสิ่งอย่างตามความเป็นจริง...ก็จงเพียรศึกษาและปฏิบัติตามพระธรรมคำสอนเข้าเถิด...ย่อมจะรู้เองเห็นเอง
ทีนี้...แม้นเมื่อเราเชื่อแล้วว่า พระบรมศาสดาทรงมีจริง...เราหมั่นสักการบูชาท่านด้วยดอกบัวเสมอ...แต่พอจะทราบกันบ้างไหม...พระพุทธองค์เป็นเช่นไร...หฤทัยของบรมครูเจ้า...เป็นอย่างไร...สิ่งนี้ คือ ความสำคัญต่อเนื่อง...ที่ผู้เลื่อมใสศรัทธา...ก็ยังคงต้องศึกษาหาคำตอบกันต่อไป...แต่อยากรู้ไหม...พระพุทธเจ้าของเรา...เฉลยความจริงส่วนพระองค์ไว้อย่างไร...ถ้าอยากรู้ ก็มารู้กันเลย...
พระจอมไตรโลกนาถตรัสถึง สภาวะที่พระองค์ทรงเป็นอยู่...ไว้ใน “โทณสูตร” (องฺ. จตุกฺก. [๓๖]) ว่า...
“...นี่แน่ะพราหมณ์ ดอกอุบลก็ดี ดอกปทุมก็ดี ดอกบุณฑริกก็ดี เกิดในน้ำ เจริญในน้ำ แต่ขึ้นมาตั้งอยู่พ้นน้ำ น้ำไม่กำซาบเข้าไปได้ ฉันใด, เราก็ฉันนั้น เกิดในโลก เติบใหญ่มาในโลก แต่เราอยู่เหนือโลก โลกไม่เข้ามากำซาบ (ใจเรา) ได้, แน่ะพราหมณ์ ท่านจงจำเราไว้ว่า “เป็นพุทธะ”
ท่านทั้งหลาย...สัจจะความจริง คือ สิ่งที่ดำรงอยู่...แบบไม่สามารถจะลบหายหรือลืมเลือน...ทั้งไม่อาจบิดเบือนให้เป็นอื่นไป...ความจริง ก็คือ ความจริง...มิกลายเป็นความเท็จได้เลย...ตรงกันข้าม...ความเท็จ ก็คือ ความเท็จ...มิอาจแปรเปลี่ยนเป็นความจริงได้เลย ประดุจเดียวกัน...และสัจจะอันหนึ่งที่โลกจารึกแล้ว...ไม่มีวันผันแปรผิดเพี้ยนเปลี่ยนไป...ก็คือ...พระพุทธเจ้ามีจริง...พระธรรมคำสอนมีจริง...พระสงฆ์สาวกที่รู้ตามเห็นตามพระพุทธองค์ก็มีจริง...ฉะนั้น...ไม่ควรพะวงสงสัยนึกดูถูกดูหมิ่น...ให้เป็นบาปกรรมซ้ำเติมชีวิตตัวเองเลย...หรือหากประสงค์ใคร่รู้ความจริงทุกสิ่งอย่างตามความเป็นจริง...ก็จงเพียรศึกษาและปฏิบัติตามพระธรรมคำสอนเข้าเถิด...ย่อมจะรู้เองเห็นเอง
ทีนี้...แม้นเมื่อเราเชื่อแล้วว่า พระบรมศาสดาทรงมีจริง...เราหมั่นสักการบูชาท่านด้วยดอกบัวเสมอ...แต่พอจะทราบกันบ้างไหม...พระพุทธองค์เป็นเช่นไร...หฤทัยของบรมครูเจ้า...เป็นอย่างไร...สิ่งนี้ คือ ความสำคัญต่อเนื่อง...ที่ผู้เลื่อมใสศรัทธา...ก็ยังคงต้องศึกษาหาคำตอบกันต่อไป...แต่อยากรู้ไหม...พระพุทธเจ้าของเรา...เฉลยความจริงส่วนพระองค์ไว้อย่างไร...ถ้าอยากรู้ ก็มารู้กันเลย...
พระจอมไตรโลกนาถตรัสถึง สภาวะที่พระองค์ทรงเป็นอยู่...ไว้ใน “โทณสูตร” (องฺ. จตุกฺก. [๓๖]) ว่า...
“...นี่แน่ะพราหมณ์ ดอกอุบลก็ดี ดอกปทุมก็ดี ดอกบุณฑริกก็ดี เกิดในน้ำ เจริญในน้ำ แต่ขึ้นมาตั้งอยู่พ้นน้ำ น้ำไม่กำซาบเข้าไปได้ ฉันใด, เราก็ฉันนั้น เกิดในโลก เติบใหญ่มาในโลก แต่เราอยู่เหนือโลก โลกไม่เข้ามากำซาบ (ใจเรา) ได้, แน่ะพราหมณ์ ท่านจงจำเราไว้ว่า “เป็นพุทธะ”
วันพฤหัสบดีที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2557
มหัศจรรย์...พระพุทธเจ้า
ในห้วงจักรวาลและเอกภพอันกว้างใหญ่ไพศาลนี้...ผู้ชื่อว่าเป็นหนึ่งไม่มีสอง...มีเพียงเฉพาะ...
“พระพุทธเจ้า”...เท่านั้น...ตลอดทั่วสามแดนโลกธาตุ...จะหาใครที่สำคัญและยิ่งใหญ่ที่สุด...เสมอเหมือนพระองค์ไม่มี...พระองค์ทรงเป็นบรมครูของเทวดาและมนุษย์...เป็นที่พึ่งอันเกษมของเวไนยสัตว์ผู้ลอยคอในห้วงวัฏฏะทุกข์...
พวกเราเกิดมา...มีวาสนาได้เป็นชาวพุทธ...ย่อมประจักษ์รู้ความจริงนี้อยู่แก่ใจตัวเอง...เราจึงสามารถกราบไหว้สักการะรูปเคารพของพระพุทธเจ้า...กระทั่งรอยพระบาทของพระองค์...อย่างมีความสุข สนิทใจ สบายใจ สงบสันติ เอิบอิ่มใจ และเบิกบาน...เรามั่นใจว่า...ศรัทธา ความนอบน้อม ที่เรามีต่อองค์พระศาสดาไม่เคยไร้ผล...เพราะสิ่งเหล่านั้นที่เรากระทำ...คือ บุญอันยิ่งที่จะนำกุศลวิบาก...ให้เกิดขึ้นกับชีวิตเราและเพื่อนร่วมโลก...ในทุกทาง ทุกด้าน และทุกเหตุการณ์กรณี...
ฉะนั้น...โฉมหน้าแห่งพุทธศาสนิกชนที่แท้...ทุกชาติชั้นวรรณะ...จึงฉายแววปรากฏอันเดียวกัน...นั่นคือ...เป็นดวงหน้าของผู้มีชีวิตเพื่อสร้างความดีตลอดเวลา...ทั้งแก่ตนเองและผู้อื่น...ตามแนวทางพระพุทธธรรมคำสอน...และชาวพุทธที่แท้...ล้วนมีจุดหมายปลายทางเดียวกันที่ปรารถนาจะไปถึง...นั่นคือ...อิสรภาพชีวิตนิรันดร์...“พระนิพพาน”
จุดเริ่มต้นที่จะทำให้เราบรรลุความหลุดพ้น...มีชีวิตอมตะ...ไม่เวียนมาสู่ความตายและทุกข์โศกอีก...เริ่มขึ้นจากหัวใจที่เคารพรักในพระพุทธองค์...เพราะเหตุนี้เอง จึงมีบทสวด...“นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ”...ขึ้นก่อน...ในทุกๆ พิธีการทางพระพุทธศาสนา...แล้วก็ยังเป็นความจริงที่ลี้ลับอีกด้วยว่า...เวทย์มนต์อาคมใดๆ ก็ตาม...ถ้าบริกรรมสาธยายโดยไม่ท่องนะโมก่อน...คาถาเหล่านั้นจะเสื่อมสิ้นความขลัง...หรือหากจะบังเกิดผลสมใจขึ้นมาบ้าง (พวกมนต์ชั่วร้าย ไสยฯดำ)...สุดท้ายแล้ว...สิ่งไม่ดีต่างๆ จะย้อนกลับเข้าทำลายตัวเองจนพบความวิบัติ...แต่หากก่อนใช้คาถาอาคม...ได้ยกมือประนมเหนือหัว แล้วท่องนะโม นอบน้อมพระพุทธเจ้า...ก็จักบังเกิดผลเป็นความศักดิ์สิทธิ์ เข้มขลัง มีอานุภาพได้อย่างน่าอัศจรรย์...
ฉะนั้น...ชาวพุทธทุกท่านทุกคน...จงเชื่อมั่นและรักในพระบรมศาสดา...น้อมระลึกถึงด้วยจิตศรัทธาอย่าหวั่นไหว...แม้ชีวิตจะประสบเคราะห์กรรมเพียงใด...นึกถึงพระพุทธเจ้าเอาไว้...และเพียรพยายามแก้ปัญหาไป...ด้วยสติ ด้วยความรอบรู้ ด้วยวิธีการที่ไม่ละเมิดต่อธรรมคำสอน...สุดท้ายแล้ว...ทุกสิ่งจะผ่านพ้นด้วยดี...ชีวิตจะพบสุขแท้และยั่งยืน...
พระพุทธเจ้า...ทรงตรัสรับรองผลของศรัทธา...ที่เหล่าสาวกมีต่อพระองค์...ไว้ใน “อลคัททูปมสูตร”(ม. มู. [๒๘๘])...ว่า...
“บุคคลเหล่าใด มีเพียงความเชื่อ เพียงความรักในเรา บุคคลเหล่านั้นทั้งหมด เป็นผู้มีสวรรค์เป็นที่ไปในเบื้องหน้า”
พวกเราเกิดมา...มีวาสนาได้เป็นชาวพุทธ...ย่อมประจักษ์รู้ความจริงนี้อยู่แก่ใจตัวเอง...เราจึงสามารถกราบไหว้สักการะรูปเคารพของพระพุทธเจ้า...กระทั่งรอยพระบาทของพระองค์...อย่างมีความสุข สนิทใจ สบายใจ สงบสันติ เอิบอิ่มใจ และเบิกบาน...เรามั่นใจว่า...ศรัทธา ความนอบน้อม ที่เรามีต่อองค์พระศาสดาไม่เคยไร้ผล...เพราะสิ่งเหล่านั้นที่เรากระทำ...คือ บุญอันยิ่งที่จะนำกุศลวิบาก...ให้เกิดขึ้นกับชีวิตเราและเพื่อนร่วมโลก...ในทุกทาง ทุกด้าน และทุกเหตุการณ์กรณี...
ฉะนั้น...โฉมหน้าแห่งพุทธศาสนิกชนที่แท้...ทุกชาติชั้นวรรณะ...จึงฉายแววปรากฏอันเดียวกัน...นั่นคือ...เป็นดวงหน้าของผู้มีชีวิตเพื่อสร้างความดีตลอดเวลา...ทั้งแก่ตนเองและผู้อื่น...ตามแนวทางพระพุทธธรรมคำสอน...และชาวพุทธที่แท้...ล้วนมีจุดหมายปลายทางเดียวกันที่ปรารถนาจะไปถึง...นั่นคือ...อิสรภาพชีวิตนิรันดร์...“พระนิพพาน”
จุดเริ่มต้นที่จะทำให้เราบรรลุความหลุดพ้น...มีชีวิตอมตะ...ไม่เวียนมาสู่ความตายและทุกข์โศกอีก...เริ่มขึ้นจากหัวใจที่เคารพรักในพระพุทธองค์...เพราะเหตุนี้เอง จึงมีบทสวด...“นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ”...ขึ้นก่อน...ในทุกๆ พิธีการทางพระพุทธศาสนา...แล้วก็ยังเป็นความจริงที่ลี้ลับอีกด้วยว่า...เวทย์มนต์อาคมใดๆ ก็ตาม...ถ้าบริกรรมสาธยายโดยไม่ท่องนะโมก่อน...คาถาเหล่านั้นจะเสื่อมสิ้นความขลัง...หรือหากจะบังเกิดผลสมใจขึ้นมาบ้าง (พวกมนต์ชั่วร้าย ไสยฯดำ)...สุดท้ายแล้ว...สิ่งไม่ดีต่างๆ จะย้อนกลับเข้าทำลายตัวเองจนพบความวิบัติ...แต่หากก่อนใช้คาถาอาคม...ได้ยกมือประนมเหนือหัว แล้วท่องนะโม นอบน้อมพระพุทธเจ้า...ก็จักบังเกิดผลเป็นความศักดิ์สิทธิ์ เข้มขลัง มีอานุภาพได้อย่างน่าอัศจรรย์...
ฉะนั้น...ชาวพุทธทุกท่านทุกคน...จงเชื่อมั่นและรักในพระบรมศาสดา...น้อมระลึกถึงด้วยจิตศรัทธาอย่าหวั่นไหว...แม้ชีวิตจะประสบเคราะห์กรรมเพียงใด...นึกถึงพระพุทธเจ้าเอาไว้...และเพียรพยายามแก้ปัญหาไป...ด้วยสติ ด้วยความรอบรู้ ด้วยวิธีการที่ไม่ละเมิดต่อธรรมคำสอน...สุดท้ายแล้ว...ทุกสิ่งจะผ่านพ้นด้วยดี...ชีวิตจะพบสุขแท้และยั่งยืน...
พระพุทธเจ้า...ทรงตรัสรับรองผลของศรัทธา...ที่เหล่าสาวกมีต่อพระองค์...ไว้ใน “อลคัททูปมสูตร”(ม. มู. [๒๘๘])...ว่า...
“บุคคลเหล่าใด มีเพียงความเชื่อ เพียงความรักในเรา บุคคลเหล่านั้นทั้งหมด เป็นผู้มีสวรรค์เป็นที่ไปในเบื้องหน้า”
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)