วันพุธที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

พุทธตำนาน...วันเพ็ญเดือนสิบสอง




เพ็ญเดือนสิบสอง...รำลึกคุณพุทธมารดา...แม่กาเผือก



ในสมัยปฐมกัลป์ มีพญากาเผือก ๒ ตัวผัวเมีย ทำรังอยู่ที่ใต้ต้นมะเดื่อริมฝั่งแม่น้ำคงคา อันเป็นธรรมชาติสถานที่รื่นรมย์ ในเวลาต่อมาพระโพธิสัตว์ได้ปฏิสนธิเกิดในครรภ์พระมารดาแม่พญากาเผือก พร้อมกันทั้ง ๕ พระองค์ เมื่อครบทศมาส แม่กาเผือกก็เกิดออกไข่ ณ ที่รังต้นมะเดื่อจำนวน ๕ ฟอง ( สถานที่นี้ ในการต่อมาคือ วัดพระเกิด ) แม่กาเผือกดูแลฟักด้วยความทะนุถนอมเป็นอย่างดี

ครั้นอยู่มาวันหนึ่งพระยากาเผือก ได้ออกไปหากินถิ่นแดนไกล ได้ไปถึงสถานที่ที่หนึ่งซึ่งอุดมสมบูรณ์ ด้วยพืชพันธ์ธัญญาหาร แม่กาเผือกได้เพลินหากินอาหารชื่นชมกับธรรมชาติอันแสนรื่นรมย์จนมืดค่ำ พอดีฝนตกหนัก ฟ้าคะนอง ลมพายุใหญ่พัดกระหน่ำทำให้มืดครึ้มทั่วไปหมด ทำให้พญากาเผือกหาหนทางออกไม่ถูก จึงหลงอยู่ในบริเวณสถานที่นั้น ( สถานที่นั้นในกาลต่อมาได้ชื่อว่าเวียงกาหลง )

แม่กาเผือกได้พักอยู่ที่เวียงกาหลงคืนหนึ่ง พอรุ่งเช้า แม่การีบบินกลับที่พัก ณ. รังต้นมะเดื่อริมฝั่งน้ำ แต่ปรากฏว่ากิ่งมะเดื่อที่ทำรังถูกพายุพัดหักล้มลงไปในแม่น้ำ แม่กาเผือกตกใจรีบถลาไปหาลูก แต่อนิจจา หาเท่าไรก็หาไม่พบ แม่กาเผือกพยายามหาไข่ลูกของตนเองไปทุกสถานที่ ด้วยความโศกเศร้าเสียใจในความรักอย่างสุดซึ้ง จนไม่สามารถระงับความอาลัยทุกข์ได้ ในที่สุดก็สิ้นใจตายอย่างน่าสงสาร

ด้วยอานิสงค์ในความรักอันบริสุทธิ์ที่มีต่อลูก ทั้งที่ลูกของแม่กาเผือกเป็นพระโพธิสัตว์ถึง ๕ พระองค์ เป็นกุศลหนุนส่งให้แม่กาเผือกตายไปเกิดอยู่บนแดนพรหมโลกชั้น สุทธาวาสมีวิมานทองคำสดใสริสุทธ์ งดงามตระการตา ได้พระนามว่า “ ฆติกามหาพรหม “ จักได้เป็นผู้ถวายอัฏฐะบริขารบวชแก่ลูกทั้ง ๕ พระองค์ เมื่อจะได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

ส่วนไข่ทั้ง๕ ได้ถูกลมพัดตกน้ำไหลไปยังสถานที่ต่างๆ ไข่ฟองที่ ๑ แม่ไก่ได้เก็บและนำไปดูแลรักษา ไข่ฟองที่๒ แม่นาคราชได้เก็บนำไปดูแลรักษา ไข่ฟองที่ ๓ แม่เต่าเก็บไปดูแลรักษา ไข่ฟองที่ ๔ แม่โคเก็บไปดูแลรักษา ไข่ฟองที่ ๕ แม่ราชสีห์เก็บไปดูแลรักษา

ครั้นในกาลเวลาต่อมาพระโพธิสัตว์ทั้ง ๕ ก็ประสูติออกจากไข่ทั้ง ๕ ปรากฏเป็นมนุษย์รูปร่างสวยสดงดงามทั้ง ๕ พระองค์ ในเวลาเดียวกันตามลำดับ ของแม่เลี้ยงทั้ง ๕ ที่นำไข่ไปดูแลรักษา พระโพธิสัตว์ทั้ง ๕ ได้เจริญเติบโตอยู่กับแม่เลี้ยง ด้วยความกตัญญูจึงรู้ทำหน้าที่ทุกอย่างทดแทนบุญคุณแม่เลี้ยงเป็นอย่างดี จนถึงอายุครบ ๑๒ ด้วยบุญกุศลเก่าหนุนส่ง ก็มีสิทธิ์คิดที่จะออกบวชบำเพ็ญ เนกขัมมะบารมี เป็นฤาษีอยู่ในป่า จึงได้อำลาแม่เลี้ยงของตนเหมือนกันทั้ง ๕ พระองค์ ฝ่ายแม่เลี้ยงถึงแม้จะมีความรักและอาลัยลูกเพียงใดก็ไม่สามารถขัดขวางความประสงค์ตามเจตนาที่เป็นบุญกุศลอันยิ่งใหญ่ จึงอนุญาตให้ลูกออกบวชด้วยความอนุโมทนา

ด้วยปณิธานอันแน่วแน่ ของพระโพธิสัตว์ทั้ง ๕ พระองค์ ที่มุ่งมั่นจะบำเพ็ญบารมีพระโพธิญาณ เพื่อเป็นพระพุทธเจ้าโปรดสัตว์โลก แม่เลี้ยงทั้ง ๕ เห็นปณิธานอย่างนั้นจึงฝากนามของแม่เลี้ยงเอาไว้เพื่อเป็นอนุสรณ์ตำนานให้แก่โลกต่อไป ตามลำดับพระนามดังต่อไปนี้
องค์ที่ ๑ มีพระนามว่า พระกกุสันโธ เพราะตามนามแม่เลี้ยงเป็นไก่
องค์ที่ ๒ มีพระนามว่า พระโกนาคมโน เพราะนามแม่เลี้ยงเป็นนาค
องค์ที่ ๓ มีพระนามว่า พระกัสสโป เพราะตามนามแม่เลี้ยงเป็นเต่า
องค์ที่ ๔ มีพระนามว่าพระโคตรโม เพราะตามนามแม่เลี้ยงเป็นโค
องค์ที่ ๕ มีพระนามว่า พระศรีอริยเมตไตรโย เพราะตามนามแม่เลี้ยงเป็นราชสีห์

ฝ่ายพระโพธิสัตว์ทั้ง ๕ เมื่ออกบวชเป็นฤๅษีก็ได้บำเพ็ญเพียรพระกัมมัฏฐานสำเร็จฌาน อภิญญาสมาบัติ จึงสามารถเหาะไปหาอาหารผลไม้ และบำเพ็ญเพียรที่ป่า ดอยสิงกุตตระ ณ. ใต้ต้น อณิโครธ อันร่มรื่นด้วยกิ่งไม้สาขาใหญ่ ด้วยเหตุปัจจัยในกุศลมีธรรม ฤาษีทั้ง ๕ ได้มาพบกัน ณ ที่นี้ โดยมิได้นัดหมายรู้จักกันมาก่อน จึงสอบถามความเป็นมาของกันและกัน จึงได้รู้ว่าแต่ละองค์มีแต่แม่เลี้ยง แม่ที่แท้จริงอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้...??? ฤๅษีทั้ง ๕ จึงได้ตั้งสัจจะอธิฐานขอให้ได้พบแม่บังเกิดเกล้าที่แท้จริง...เป็นเหตุให้ท้าวฆติกามหาพรหมซึ่งเป็นแม่ทราบเหตุการณ์ทั้งหมด จึงจำแลงเป็นแม่กาเผือกขาวสวยงามยิ่งนัก มาปรากฏอยู่หน้าฤๅษีทั้ง ๕

ฝ่ายฤๅษีทั้ง ๕ ก็รู้ด้วยญาณทัศนะทันทีว่า นี่แหละเป็นแม่บังเกิดเกล้าที่แท้จริง จึงสอบถามวามเป็นมาของแม่กาเผือกตั้งแต่ต้นว่า เรื่องราวเป็นมาอย่างไร แม่กาเผือกจึงเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ลูกฟัง
เมื่อลูกฤๅษีได้ทราบเหตุเช่นนั้น แล้วรู้สึกสลดสังเวชใจเป็นอย่างยิ่งและสำนึกในบุญคุณอันใหญ่หลวงของแม่กาเผือก จึงน้อมกราบ นมัสการ ฆติกามหาพรหมผู้เป็นแม่ที่ให้กำเนิดชีวิต และกราบขอสัญลักษณ์อนุสรณ์ของแม่กาเผือกไว้บูชา แม่กาเผือกได้ประทานผ้าฝ้ายเป็นด้ายฟั่นตีนกาสัญลักษณ์อนุสรณ์ ให้แก่ลูกฤๅษีทั้ง ๕ ไว้ใช้เป็นไส้ประทีปจุดบูชาทุกวันพระและต่อมาเป็นประเพณีจุดประทีป ตีนกาบูชาแม่กาเผือก ในวันขึ้น ๑๕ ค่ำเดือน ๑๒ ลอยกระทง เป็นตำนานสืบไว้ในโลกาตลอดกาลนาน เมื่อแม่กาเผือกประทานสัญลักษณ์ไว้ให้กับฤๅษีทั้ง ๕ ก็ลากลับเทวสถาน

พระโพธิสัตว์ทั้ง ๕ ต่างก็พากันตั้งหน้าบำเพ็ญเพียรรักษาศีลธรรมภาวนามิได้ขาด ทุกวันพระก็จุดประทีปตีนกาบูชาพระแม่กาเผือกผู้เป็นแม่อยู่เสมอ เป็นเวลานานหลายปีชีวีฤๅษีทั้ง ๕ ก็ดับขันธ์ได้ไปเกิดบนเทวโลก ชั้นดุสิตพิภพอันเป็นที่อยู่ขององค์พระโพธิสัตว์ทั้งหลาย ได้เสวยทิพยสมบัติอยู่ในที่นั้น และในกาลต่อมาก็ได้เวียนบำเพ็ญบารมีทุกภพชาติที่เนิดเกิดในสังสารวัฏนี้ จนบารมีเต็มเปี่ยมสมบูรณ์ทั้ง ๓๐ ทัศแล้ว ก็ได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า เมื่อพระองค์ไหนจะมาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ฆติกามหาพรหมผู้เป็นแม่ต้นกัปโลกาก็จะนำเอาบริขาร คือ บาตรไตรจีวร มาถวายลูกโพธิสัตว์ทั้ง ๕ พระองค์ ในชาติสุดท้ายที่จะได้เป็นพระพุทธเจ้าโปรดโลกทุกพระองค์

กาลเวลาอันยาวนานผ่านไปจนถึงปัจจุบันนี้ พระโพธิสัตว์ลูกแม่กาเผือกต้นปฐมกัปก็ได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าโปรดโลกไปแล้วถึง ๔ พระองค์ ตามลำดับดังนี้คือ
๑. พระกกุสันโธสัมมาสัมพุทธเจ้า มีอายุ ๔ หมื่นปี มีเขมวตีนครของพระเจ้าเขมะเป็นราชธานี
๒. พระโกนาคมโนสันโธ สัมมาสัมพุทธเจ้า มีอายุ ๓ หมื่นปี มีโสภวตีนครของพระเจ้าโสภะเป็นราชธานี
๓. พระกัสสโปสัมมาสัมพุทธเจ้า มีอายุ ๒ หมื่นปี มีพาราณสีนครของพระเจ้ากิงกิเป็นราชธานี
๔. พระโคตโมสัมามสัมพุทธเจ้า มีอายุ ๘๐ ปี มีกบิลพัสดุ์ของพระเจ้าวสุทโธทนะเป็นราชธานี
ส่วนพระโพธิสัตว์องค์ที่ ๕ อันเป็นลูกองค์สุดท้ายของแม่กาเผือก คือพระศรีอริยเมตไตรย์ จักเป็นพระพุทธเจ้าองค์ที่ ๕ ในภัททกัปป์นี้ จะมีอายุถึง ๘ หมื่นปี

ในยุคพระศรีอริยเมตไตรย์นั้น สภาพสังคมมนุษย์จะอุดมสมบูรณ์พูนสุขมาก เพราะผู้คนมีศีลธรรมอยู่กันด้วยความเมตตาธรรม มีศีล ๕ บริสุทธิ์ทุกคน จึงมีทรัพย์สมบัติมาก มีอายุยืนยาว ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บ มีรูปร่างหน้าตาสวยสดงดงาม ผ่องใสเบิกบานด้วยศีลธรรมกันหมดและเพราะบารมีของพระพุทธเจ้า
ศรีอริยเมตไตรย์ ที่สั่งสมบารมีเพื่อความสุขสันติของโลก ซึ่งมีพระเจ้าสังขจักพรรดิทรงปกครองบ้านเมืองโดยชอบธรรมในเมืองเกตุมวดีนคร แผ่ธรรมจักรพรรดิให้คนรักษาศีล ๕ ทั้งโลก เมื่อพระศรีอริยเมตไตรย์ได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าแล้วผู้คนจึงได้ฟังพระธรรมจักร ได้ดื่มรสอมตะธรรมแห่งพระศรีอริยเมตไตรย์ ได้บรรลุธรรมถึงสวรรค์นิพพานโดยแท้ ผู้คนในยุคนั้นจึงโชคดีที่สุดเกิดมาเพื่อสันติสุข เข้าถึงศีลธรรมอันดีงามทั้งหมด






วันจันทร์ที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

นโมพุทธายะ



นะโมพุทธายะ

นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ

นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ

นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ

อิติปิโส ภะคะวา อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ วิชชาจะระณะสัมปันโน สุคะโต โลกะวิทู อะนุตตะโร 

ปุริสะทัมมะสาระถิ สัตถา เทวะมะนุสสานัง พุทโธ ภะคะวาติฯ


********************************************** 


ขอนอบน้อมแด่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลาย ด้วยเศียรเกล้า

ข้าพระบาทนาม มุนี ธรรมบาล

มีสัจจาธิษฐานว่า

จักเผยแพร่พระพุทธพจน์ไปให้ปรากฏ 

เพื่อประโยชน์สุขแก่ผองเพื่อนเวไนย์ตลอดโลกหล้าสากล

กาลบัดนี้ข้าฯได้ทำหน้าที่ของตนสำเร็จสมบูรณ์แล้ว

บุญกุศลนี้ขอจงเอื้อเฟื้อเป็นปัจจัย

นำชีวิตให้ล่วงพ้นไปจากห้วงทุกข์วัฏฏะสงสารโดยสะดวก

และผลานิสงส์อันดีทั้งปวงทั้งหลาย

ขอจงถึงแก่ผองเพื่อนเวไนย์ทุกๆชีวิตด้วยประดุจดั่งกัน

สาธุ สาธุ สาธุ

นิพพานะ ปัจจะโย โหตุ

อุดมโลก  อุดมธรรม


*********************************************** 






วันอาทิตย์ที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

ครั้งพุทธกาล...พระพุทธเจ้าทรงเสด็จมาประเทศไทยบ่อยครั้ง





พระพุทธเจ้าเสด็จประเทศไทย



แผ่นดินไทยของเราเกี่ยวข้องกับพระพุทธเจ้าและพุทธศาสนา อย่างแนบเนื่องแน่นแฟ้นมาตั้งแต่ยุคเริ่มต้น... 
ดังจะเห็นได้จากเรื่องราวตำนานโบราณต่างๆ ของทุกภูมิภาคทั่วแดนไทย เรื่องที่ว่า...
ในอดีตเมื่อครั้งพุทธกาล พระพุทธองค์เคยเสด็จมาเทศน์โปรด และได้ประทับรอยพระพุทธบาทไว้ ในสถานที่นั้นที่นี้ เพื่อเป็นที่สักการะบูชา และเป็นเครื่องให้ระลึกถึงพระองค์...

เป็นต้นว่า...

- พระพุทธเจ้า เคยเสด็จจังหวัดสระบุรี และประทับรอยพระพุทธบาทไว้บนยอดเขา
- พระพุทธเจ้าเคยเสด็จจังหวัดนครพนม ประทับที่ภูกำพร้า พร้อมดำรัสสั่งความพระอรหัตสาวกให้นำกระดูกส่วนอก หรืออุรังคธาตุของพระองค์มาประดิษฐานที่นั่น ซึ่งก็คือ เจดีย์พระธาตุพนมนั่นเอง
- พระพุทธเจ้าเคยเสด็จประทับรอยพระบาทไว้ที่พระเวณพระธาตุเชิงชุม จังหวัดสกลนคร
- พระพุทะเจ้าเคยเสด็จประทับรอยพระบาทไว้ที่จังหวัดอุดรธานี บริเวณพระบาทบัวบก พระบาทบัวบาน
- พระพุทธเจ้าเคยเสด็จมาเทศน์โปรดประชาชนในแถบลุ่มแม่น้ำโขงหลายที่หลายแห่ง 
- พระพุทธเจ้าเคยเสด็จประทับรอยพระบาทไว้ที่วัดพระพุทธบาทสี่รอยและเสด็จไปหลายที่หลายแห่งในภาคเหนือของประเทศไทย ทรงเทศนาโปรดบรรพชนไทยในครั้งนั้น พร้อมกับทรงพยากรณ์สถานที่ต่างงๆ และเรื่องราวต่าง ๆ เอาไว้ 

......................................................ฯลฯ.............................................................. 


แผ่นดินไทยมากมายด้วยเรื่องมหัศจรรย์...

เมื่อครั้งพุทธกาล พระบรมศาสดาทรงเสด็จมาเมืองไทยของเราบ่อยครั้ง ย่อมบ่งชี้ถึงความจริงว่า...
ที่นี่คือแผ่นดินศักดิ์สิทธิ์ของโลก...
ที่นี่เป็นศูนย์กลางแห่งพระพุทธศาสนานับแต่ทรงปรินิพพานมา...
ที่นี่คือแดนพุทธภูมิ...อันจะปรากฏเกิดขึ้นของเหล่าพระอริยะเจ้าทั้งหลาย และพระโพธิสัตว์ทั้งหลาย...

เพราะเหตุนี้เอง...

"ถ้าเอ่ยถึงพระพุทธเจ้าและพระพุทธศาสนา คนทั้งโลกต้องนึกถึงประเทศไทย และถ้าเอ่ยถึงประเทศไทย ทุกคนก็ต้องนึกถึงพระพุทธเจ้าและพระพุทธศาสนา"




******************************************************************************  








วันพฤหัสบดีที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

ความจริงที่โลกต้องรับรู้... "พระพุทธเจ้าเป็นคนไทย"




พระพุทธเจ้าเป็นคนไทย 
       (คำยืนยันของ หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต)         

          เรื่องมีอยู่ว่า สมัยที่ผู้เล่าอยู่กับท่านพระอาจารย์ที่บ้านหนองผือ มีชาวกรุงเทพมหานครไปกราบนมัสการ ถวายทานฟังเทศน์ และได้นำกระดาษห่อธูปมีเครื่องหมายการค้า รูปตราพระพุทธเจ้า (บัดนี้รูปตรานั้นไม่ปรากฏ) ตกหล่นที่บันไดกุฏิท่าน พอได้เวลาผู้เล่าขึ้นไปทำข้อวัตร ปฏิบัติท่านตามปกติ พบเข้าเลยเก็บขึ้นไป พอท่านฯเหลือบมาเห็น ถามว่า 
          “ นั่นอะไร ” 
          “รูปพระพุทธเจ้าขอรับกระผม ” 
          ท่านกล่าว 
          “ ดูสิคนเรานับถือพระพุทธเจ้า แต่เอาพระพุทธเจ้าไปขายกิน ไม่กลัวนรกนะ” 
          แล้วท่านก็ยื่นให้ผู้เล่า บอกว่า “ ให้บรรจุเสีย ” 
          ผู้เล่าเอามาพิจารณาอยู่ เพราะไม่เข้าใจคำว่า บรรจุ จับพิจารณาดูพระพักตร์เหมือนแขกอินเดีย ผู้เล่าอยู่กับท่านองค์เดียว ท่านวันยังไม่ขึ้นมา 
          ท่านพูดซ้ำอีกว่า “ บรรจุเสีย” 
          “ ทำอย่างไรขอรับกระผม ” 
          “ ไหนเอามาซิ ” 
          ยื่นถวายท่าน ท่านจับไม้ขีดไฟมาทำการเผาเสีย และพูดต่อว่า “ หนังสือธรรมะสวดมนต์ที่ตกหล่นขาดวิ่นใช้ไม่ได้แล้ว ก็ให้รีบบรรจุเสีย กลัวคนไปเหยียบย่ำจะเป็นบาป” 
          ผู้เล่าเลยพูดไปว่า “ พระพุทธเจ้าเป็นแขกอินเดียนะกระผม ” 
          ท่านฯตอบ “ หือคนไม่มีตาเขียน เอาพระพุทธเจ้าไปเป็นแขกหัวโตได้ ” 
          ท่านฯกล่าวต่อไปว่า “ อันนี้ได้พิจารณาแล้วว่า พระพุทธเจ้าเป็นคนไทย พระอนุพุทธสาวกในยุคพุทธกาล ตลอดจนถึงยุคปัจจุบัน ล้วนแต่ไทยทั้งนั้น ชนชาติอื่น แม้แต่สรณคมน์และศีล ๕ เขาก็ไม่รู้ จะเป็นพระพุทธเจ้าได้อย่างไรดูไกลความจริงเอามากๆ เราได้เล่าให้เธอฟังแล้วว่า ชนชาติไทย คือ ชาวมคธ รวมรัฐต่างๆ มีรัฐสักกะ เป็นต้น หนีการล้างเผ่าพันธุ์มาในยุคนั้นและชาวพม่า คือ รัฐโกศลเป็นรัฐใหญ่ รวมทั้งรัฐเล็กๆ จะเป็นวัชชี มัลละ เจติ เป็นต้น ก็ทะลักหนีตาย จากผู้ยิ่งใหญ่ด้วยโมหะ อวิชชา มาผสมผสานเป็นมอญ (มัลละ) เป็นชนชาติต่างๆ ในพม่า ในปัจจุบัน  ส่วนรัฐสักกะนั้นใกล้กับรัฐมคธ ก็รวมกันอพยพมาสุวรรณภูมิ ตามสายญาติที่เดินทางมาแสวงโชคล่วงหน้าก่อนแล้ว”
           ผู้เล่าเลยพูดขึ้นว่า “ปัจจุบัน พอจะแยกชนชาติในไทยได้ไหม ขอรับกระผม” 
           “ไม่รู้สิ อาจเป็นชาวเชียงใหม่ ชาวเชียงตุงในพม่าก็ได้” 

           ขณะนั้นท่านวันขึ้นไปพอดี ตอนท้านก่อนจบท่านเลยสรุปว่า “ อันนี้ (หมายถึงตัวท่าน) ได้พิจารณาแล้ว ทั้งรู้ทั้งเห็นโดยไม่มีข้อสงสัยใดๆทั้งสิ้น” 
           ผู้เล่าพูดอีกว่า “แขกอินเดียทุกวันนี้คือพวกไหน ขอรับกระผม” 
           ท่านบอก “พวกอิสลามที่มาไล่ฆ่าเรานะซิ” 
           “ถ้าเช่นนั้นศาสนาพราหมณ์ ฮินดู เจ้าแม่กาลี การลอยบาปแม่น้ำคงคา ทำไมจึงยังมีอยู่ รวมทั้งภาษาสันสกฤตด้วย” 
           “ อันนั้นเป็นของเก่า เขาเห็นว่าดี บางพวกก็ยอมรับเอาไปสืบต่อๆกันมาจนถึงปัจจุบัน ส่วนพวกเรา พระพุทธเจ้าสอนให้ละทิ้งหมดแล้ว เราหนีมาอยู่ทางนี้ พระพุทธเจ้าสอนอย่างไรก็ทำตาม ” 
ท่านยังพูดคำแรงๆว่า “ คุณตาบอด ตาจาวหรือ เมืองเราวัดวา ศาสนา พระสงฆ์ สามเณร เต็มบ้านเต็มเมืองไม่เห็นหรือ ” (ตาบอดตาจาวเป็นคำที่ท่านจะกล่าวเฉพาะกับผู้เล่า) 
           “ แขกอินเดียเขามีเหมือนเมืองไทยไหม ไม่มี มีแต่จะทำลาย โชคดีที่อังกฤษมาปกครอง เขาออกกฏหมายห้ามทำลายโบราณวัตถุ โบราณสถาน แต่ก็เหลือน้อยเต็มที ไม่มีร่องรอยให้เราเห็น อย่าว่าแต่พระพุทธเจ้าเลย ตัวเธอเองนั้นแหละถ้าได้ไปเห็นสภาพความเป็นอยู่ของชาวอินเดีย จ้างเธอก็ไม่ไปเกิด ” 
          “ ของเหล่านี้นั้น ต้องไปตามวาสตามวงศ์ตระกูล อย่างเช่น วงศ์พระพุทธศาสนาของเรานั้น เป็นอริยวาส อริยวงศ์ อริยตระกูล เป็นวงศ์ที่พระพุทธเจ้าจะมาอุบัติ คุณแปลธรรมบทมาแล้ว คำว่า ปุคฺคลฺโล ปุริสาธญฺโญ ลองแปลดูซิว่า พระพุทธเจ้า จะเกิดในมัชฌิมประเทศ หรืออะไรที่ไหนก็แล้วแต่ จะเป็นที่อินเดีย หรือที่ไหนก็ตาม ทุกแห่งตกอยู่ ในห้วงแห่งสังสารวัฏฏ์ ถึงวันนั้นพวกเราอาจจะไปอยู่อินเดียก็ได้”            “ พระพุทธเจ้าทรงวางพระพุทธศาสนาไว้ จะเป็นระหว่างพุทธันดรก็ดี สุญญกัปป์ก็ดี ที่ไม่มีพระพุทธศาสนา แต่ชนชาติที่ได้เป็นอริยวาส อริยวงศ์ อริยประเพณี อริยนิสัย ก็ยังสืบต่อไปอยู่ ถึงจะขาด ก็คงขาดแต่ผู้สำเร็จมรรคผลเท่านั้น เพราะว่างจาก บรมครู ต้องรอบรมครูมาตรัสรู้ จึงว่ากันใหม่ ” 
ผู้เล่าได้ฟังมาด้วยประการละฉะนี้แล ฯ 


คัดลอกจาก หนังสือ "รำลึกวันวาน" โดยกองทุนแสงตะวัน วัดปทุมวนาราม หมวดรำลึกพระธรรมเทศนา หน้าที่ ๒๒๗ (เป็นหนังสือรวบรวมเกร็ดประวัติ ปกิณกธรรม และพระธรรมเทศนา แห่งองค์หลวงปู่มั่น จากบันทึกความทรงจำของหลวงตาทองคำ จารุวณโณ ในสมัยที่ได้อยู่อุปัฏฐากหลวงปู่มั่น เมื่อปี พ.ศ.๒๔๘๗-๒๔๙๒)


วันอังคารที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

พระพุทธเจ้า [เพลงประกอบละครซีรีส์ พระพุทธเจ้า มหาศาสดาโลก]

มุนี ธรรมบาล




มุนี  ธรรมบาล
                          


                                               มุ - มานะมาดมั่น                 ข้ามพ้น  สงสาร

                                               นี - รนาถอภิบาล                 ชีพข้า

                                              ธรรม - คอยส่องสว่าง          ทุกก้าว  ดำเนิน

                                               บาล - ผดุงพระศาสน์ให้      อยู่ถ้วน  พุทธันดรฯ


                                                ************************************** 


หมายเหตุ : มุนี ธรรมบาล  เป็นนามฉายาของข้าพเจ้า นายประพันธ์  ชานนท์  นามฉายาดังกล่าวผุดปรากฏขึ้นเมื่อวันเพ็ญวิสาขะบูชา พ.ศ. ๒๕๕๖ พร้อมภาระหน้าที่ในการผดุงรักษาพระพุทธธรรมแท้จริงจากพระโอษฐ์ ให้ดำรงอยู่ ตราบกาลนานถ้วนพุทธันดร...